เรื่องที่2

การปกครอง
การจัดการปกครองในสมัยอยุธยาสามารถแบ่งออกได้เป็นสามช่วง คือ ช่วงก่อนการปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (1839-1991) ช่วงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจนถึงสมัยสมเด็จพระเพทราชา (1991-2231) และการปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระเพทราชาเป็นต้นไป (2231-2310)
อยุธยาตอนต้น (1893-1991)
มีการปกครองคล้ายคลึงกับในช่วงสุโขทัย ในราชธานี พระมหากษัตริย์มีสิทธิ์ปกครองโดยตรง หากก็ทรงใช้อำนาจผ่านข้าราชการและขุนนางเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีระบบการปกครองภายในราชธานีที่เรียกว่า จตุสดมภ์ ตามการเรียกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ[9] อันได้แก่ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา
การปกครองนอกราชธานี ประกอบด้วย เมืองหน้าด่าน เมืองชั้นใน เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราช โดยมีรูปแบบกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางค่อนข้างมาก[10] เมืองหน้าด่าน ได้แก่ ลพบุรี นครนายก พระประแดง และสุพรรณบุรี ตั้งอยู่รอบราชธานีทั้งสี่ทิศ ระยะเดินทางจากราชธานีสองวัน พระมหากษัตริย์ทรงส่งเชื้อพระวงศ์ที่ไว้วางพระทัยไปปกครอง หากก็นำมาซึ่งปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติอยู่บ่อยครั้ง เมืองชั้นในทรงปกครองโดยผู้รั้ง ถัดออกไปเป็นเมืองพระยามหานครหรือหัวเมืองชั้นนอก ปกครองโดยเจ้าเมืองที่สืบเชื้อสายมาแต่เดิม มีหน้าที่จ่ายภาษีและเกณฑ์ผู้คนในราชการสงคราม[10] และสุดท้ายคือเมืองประเทศราช พระมหากษัตริย์ปล่อยให้ปกครองกันเอง เพียงแต่ต้องส่งเครื่องบรรณาการมาให้ราชธานีทุกปี
 สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถถึงพระเพทราชา (1991-2231)
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงยกเลิกระบบเมืองหน้าด่านเพื่อขจัดปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติ และขยายอำนาจของราชธานีโดยการกลืนเมืองรอบข้างเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชธาน[11] สำหรับระบบจตุสดมภ์ ทรงแยกกิจการพลเรือนออกจากกิจการทหารอย่างชัดเจน ให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสมุหนายกและสมุหกลาโหมตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนชื่อกรมและชื่อตำแหน่งเสนาบดี แต่ยังคงไว้ซึ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเดิม
ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคมีลักษณะเปลี่ยนไปในทางการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางให้มากที่สุด โดยให้เมืองชั้นนอกเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของราชธานี มีระบบการปกครองที่ลอกมาจากราชธานี[12] มีการลำดับความสำคัญของหัวเมืองออกเป็นชั้นเอก โท ตรี สำหรับหัวเมืองประเทศราชนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมากนัก หากแต่พระมหากษัตริย์จะมีวิธีการควบคุมความจงรักภักดีต่อราชธานีหลายวิธี เช่น การเรียกเจ้าเมืองประเทศราชมาปรึกษาราชการ หรือมาร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหรือถวายพระเพลิงพระบรมศพในราชธานี การอภิเษกสมรสโดยการให้ส่งราชธิดามาเป็นสนม และการส่งข้าราชการไปปกครองเมืองใกล้เคียงกับเมืองประเทศราชเพื่อคอยส่งข่าว ซึ่งเมืองที่มีหน้าที่ดังกล่าว เช่น พิษณุโลกและนครศรีธรรมราช[13]
 สมัยตั้งแต่พระเพทราชา (2231-2310)
ในสมัยพระเพทราชา ทรงกระจายอำนาจทางทหารซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับสมุหกลาโหมแต่ผู้เดียวออกเป็นสามส่วน โดยให้สมุหกลาโหมเปลี่ยนไปควบคุมกิจการทหารในราชธานี กิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองทางใต้ ให้สมุหนายกควบคุมกิจการพลเรือนในราชธานี กิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองทางเหนือ และพระโกษาธิบดี ให้ดูแลกิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองตะวันออก ต่อมา สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (2275-2301) ทรงลดอำนาจของสมุหกลาโหมเหลือเพียงที่ปรึกษาราชการ และให้หัวเมืองทางใต้ไปขึ้นกับพระโกษาธิบดีด้วย[14]
นอกจากนี้ ในสมัยพระมหาธรรมราชา ยังได้จัดกำลังป้องกันราชธานีออกเป็นสามวัง ได้แก่ วังหลวง มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางเหนือ วังหน้า มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางตะวันออก และวังหลัง มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางตะวันตก ระบบดังกล่าวใช้มาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[14]




ราชวงศ์สุพรรณภูมิประกอบด้วยพระมหากษัตริย์ 13 พระองค์ดังนี้
  1. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 - มีพระนามเดิมว่า ขุนหลวงพงั่ว ทรงเป็นพระเชษฐาของพระมเหสีในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 และได้ครองเมืองสุพรรณบุรี เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เสด็จสวรรคต พระองค์ได้นำกำลังจากเมืองสุพรรณบุรีมาประชิดกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระราเมศวรได้อัญเชิญพระองค์เข้าเมืองแล้วถวายพระราชสมบัติให้ พระองค์จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ. 1913 เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 1931
  2. สมเด็จพระเจ้าทองลัน - ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาเมื่อปี พ.ศ. 1913 แต่ครองราชสมบัติได้ 7 วัน สมเด็จพระราเมศวรก็ได้นำกำลังจากเมืองลพบุรีเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา แล้วสำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน
  3. สมเด็จพระอินทราชา - ทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 มีพระนามเดิมว่า นครอินทร์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. 1902 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ. 1952 จากการร่วมกับเจ้าพระยามหาเสนาบดีนำกำลังเข้ายึดอำนาจจากสมเด็จพระรามราชาธิราช พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 1967
  4. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระอินทราชา มีพระนามเดิมว่า เจ้าสามพระยา เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาเมื่อปี พ.ศ. 1967 เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 1991
  5. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. 1972 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาเมื่อปี พ.ศ. 1991 พระองค์ทรงย้ายราชธานีไปอยู่ที่เมืองพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. 2006 และเสด็จประทับ ณ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2031
  6. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีพระนามเดิมว่า พระบรมราชา เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาเมื่อปี พ.ศ. 2031 เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2034
  7. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 มีพระนามเดิมว่า พระเชษฐาธิราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. 2015 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระบรมราชาเมื่อปี พ.ศ. 2034 เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2072
  8. สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 มีพระนามเดิมว่า พระอาทิตยวงศ์ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาเมื่อปี พ.ศ. 2072 เสด็จสวรรคตด้วยไข้ทรพิษเมื่อปี พ.ศ. 2076
  9. สมเด็จพระรัฏฐาธิราชกุมาร - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. 2072 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาเมื่อปี พ.ศ. 2076 ในปีถัดมาสมเด็จพระเจ้าไชยราชาธิราชได้นำกำลังเข้ายึดกรุงศรีอยุธยาแล้วกุมตัวสมเด็จพระรัฏฐาธิราชไปสำเร็จโทษ
  10. สมเด็จพระไชยราชาธิราช - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ และเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติจากการนำกำลังเข้ายึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2077 เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2089 ด้วยสาเหตุไม่ชัดเจน
  11. สมเด็จพระยอดฟ้า - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระไชยราชาธิราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. 2079 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดาเมื่อปี พ.ศ. 2089 เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2091 ด้วยการถูกขุนวรวงศาธิราชกับท้าวศรีสุดาจันทร์สำเร็จโทษ
  12. สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ - ไม่มีพงศาวดารฉบับใดระบุว่า พระองค์เป็นพระราชโอรสของกษัตริย์พระองค์ใด แต่สันนิษฐานว่าเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงเสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. 2055 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2091 จากการที่ขุนนางกลุ่มหนึ่ง นำโดยขุนพิเรนทรเทพ ได้นำกำลังเข้ายึดอำนาจจากขุนวรวงศาธิราช แล้วถวายพระราชสมบัติให้แก่พระองค์ ถึงปี พ.ศ. 2107 ได้ทรงสละราชสมบัติให้กับสมเด็จพระมหินทราธิราช ซึ่งเป็นพระราชโอรส แล้วเสด็จไปทรงผนวช กระทั่งในปี พ.ศ. 2111 พม่าได้ยกกำลังเข้าประชิดกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหินทราธิราชจึงได้อัญเชิญให้พระองค์ลาผนวชแล้วถวายราชสมบัติคืน จึงได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นครั้งที่ 2 แต่ทรงครองราชสมบัติได้อีกประมาณ 2 เดือน ก็เสด็จสวรรคตเพราะอาการประชวร
  13. สมเด็จพระมหินทราธิราช - ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2082 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2107 กระทั่งปี พ.ศ. 2111ได้ถวายพระราชสมบัติคืนให้แก่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ แต่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ได้เสด็จสวรรคตในปีเดียวกันนั้น พระองค์จึงได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นครั้งที่ 2 และในปีนั้นกรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่ฝ่ายพม่า พระองค์ได้ถูกกุมตัวไปยังเมืองหงสาวดี แต่ได้เสด็จสวรรคตระหว่างการเดินทาง
ราชวงศ์สุโขทัย เป็นราชวงศ์ที่ 3 ที่ปกครองกรุงศรีอยุธยา โดยสืบเชื้อสายจากกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ประกอบด้วย
  1. สมเด็จพระมหาธรรมราชา หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 1 ทรงปรับปรุงพระนครเพื่อรับมือข้าศึก เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2112 เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. 2133 ครองราชย์ทั้งสิ้น 21 ปี
  2. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 ทรงประกาศอิสรภาพจากการเป็นประเทศราชของพม่า ทรงทำสงครามเพื่อกอบกู้เอกราช ทรงปรับปรุงการปกครองเพื่อดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมากขึ้นเพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักร เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2133 เสด็จสวรคตเมือ พ.ศ. 2148 ครองราชย์ทั้งสิ้น 15 ปี
  3. สมเด็จพระเอกาทศรถ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 3 ทรงประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีอากรรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้น เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2148 เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. 2163 ครองราชย์ทั้งสิ้น 15 ปี
  4. สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 4 เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2163 เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. 2163 ครองราชย์ไม่ถึงปี
  5. สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 1 ทรงประกาศใช้กฎหมายการศาล เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2163 เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. 2171 ครองราชย์ทั้งสิ้น 8 ปี
  6. สมเด็จพระเชษฐาธิราช หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 2 ส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2173 เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2171 เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. 2172 ครองราชย์ทั้งสิ้น 1 ปี
  7. สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. 2172 เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. 2173 ครองราชย์ทั้งสิ้น 36 วัน

ราชวงศ์ปราสาททอง

 เป็นราชวงศ์ที่ 4 ครองกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา 58 ปี (พ.ศ. 2171- พ.ศ. 2231) สถาปนาราชวงศ์โดยสมเด็จเจ้าฟ้าปราสาททองด้วยการยึดอำนาจจากสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ กษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัยพระองค์สุดท้าย ราชวงศ์ปราสาททองมีพระมหากษัตริย์ครองราชย์ 4 พระองค์เป็นลำดับดังนี้
  1. สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ผู้สถาปนาราชวงศ์ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 30 พรรษา ครองราชย์เป็นเวลา 27 ปี (พ.ศ. 2172 - 2199)
  2. สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2199) พระโอรสของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์ได้เพียง 2 วัน (7 - 8 สิงหาคม) ก็ถูกพระนารายณ์ (พระอนุชา) ร่วมกับพระศรีสุธรรรมราชา ทำการยึดอำนาจและประหารชีวิต
  3. สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2199) พระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และเป็นพระเจ้าอาของเจ้าฟ้าไชย อยู่ในราชสมบัติได้เพียง 2 เดือน 18 วัน พระนารายณ์ก็ชิงราชสมบัติและสำเร็จโทษพระศรีสุธรรมราชา
  4. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2231) พระโอรสของพระเจ้าปราสาททอง เมื่อพระราชบิดาสวรรคต พระนารายณ์ทรงร่วมกับ พระเจ้าอา (พระศรีสุธรรมราชา) ชิงราชสมบัติจากพระเชษฐา (เจ้าฟ้าไชย) และต่อมาทรงยึดอำนาจจาก พระศรีสุธรรมราชา แล้วจึงสถาปนาพระองค์ "ปราบดาภิเษก"เป็นพระมหากษัตริย์
สมัยของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ถือได้ว่ากรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองถึงขีดสุด ทรงติดต่อสัมพันธ์กับชาวต่างประเทศ แต่ผลของการดำเนินนโยบายที่ล่อแหลมของพระองค์และการที่ทรงสนพระทัยในคริสต์ศาสนา ทำให้บรรดาขุนนางไทยและพระสงฆ์เกิดความรู้สึกต่อต้านชาวต่างชาติ เมื่อพระองค์ทรงประชวร ได้ทรงแต่งตั้งให้พระเพทราชารักษาราชการ โดยยังไม่ได้มอบราชสมบัติให้ผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นพระอนุชา โอรสบุญธรรมหรือพระธิดาของพระองค์ พระเพทราชาจึงยึดอำนาจ พระปีย์(โอรสบุญธรรม)ถูกลอบสังหาร
สมเด็จพระนารายณ์ฯ สวรรคตเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 พระเพทราชาก็ขึ้นครองราชสมบัติและสถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงสืบต่อมา พระอนุชาของพระนารายณ์คือ เจ้าฟ้าอภัยเทศและเจ้าฟ้าน้อยถูกสำเร็จโทษจึงเป็นอันสิ้นสุดของราชวงศ์ปราสาททอง
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง เป็นชื่อราชวงศ์ลำดับที่ 5 แห่งอาณาจักรอยุธยา เป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ใน ปี พ.ศ. 2310 มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์ทั้งสิ้น 6 พระองค์ โดยเริ่มตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ใน ปี พ.ศ. 2231 ถึงสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ใน ปี พ.ศ. 2310 รวมระยะเวลา 79 ปี
โดยชื่อราชวงศ์บ้านพลูหลวงนี้ มาจากหมู่บ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี อันเป็นถิ่นกำเนิดเดิมของสมเด็จพระเพทราชา โดยลำดับพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีดังนี้
  1. สมเด็จพระเพทราชา - ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2231 - พ.ศ. 2246 (15 ปี)
  2. สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) - ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2246 - พ.ศ. 2251 (6 ปี)
  3. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ - ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2251 - พ.ศ. 2275 (25 ปี)
  4. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ - ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2275 - พ.ศ. 2301 (26 ปี)
  5. สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร - ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2301 (2 เดือน)
  6. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) - ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2301 - ปี พ.ศ. 2310 (9 ปี)
อาณาจักรอยุธยาภายใต้ราชวงศ์บ้านพลูหลวงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ด้วยมีความขัดแย้งตลอดราชวงศ์ ผู้คนแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย เช่น การชิงราชสมบัติเมื่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ระหว่างพระโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่กินระยะเวลายาวนานถึง ๑ ปี หรือการช่วงชิงราชสมบัติมาจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งราชวงศ์ปราสาททอง เมื่อตอนต้นราชวงศ์ด้วย



สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ครองราชย์
บรมราชาภิเษก
ระยะครองราชย์
15 ปี
รัชกาลก่อนหน้า
รัชกาลถัดไป
วัดประจำรัชกาล
ข้อมูลส่วนพระองค์
พระราชสมภพ
สวรรคต
พระราชบิดา
หยง แซ่แต้ (鄭鏞)[4]
พระราชมารดา
นกเอี้ยง ภายหลังเป็นกรมสมเด็จพระเทพามาตย์
พระมเหสี
พระราชโอรส/ธิดา
30 พระองค์[5]
    

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (จีน: 鄭昭; พินอิน: Zhèng Zhāo; แต้จิ๋ว: Dênchao) มีพระนามเดิมว่า สิน (ชื่อจีนเรียกว่า เซิ้นเซิ้นซิน)[6] พระราชบิดาเป็นจีนแต้จิ๋ว ได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ นกเอี้ยง ภายหลังเป็นกรมสมเด็จพระเทพามาตย์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในสมัยอาณาจักรธนบุรี ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา[7] เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เมื่อมีพระชนมายุได้ 48 พรรษา รวมสิริดำรงราชสมบัติ 15 ปี พระราชโอรส-พระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 30 พระองค์[5]
พระราชกรณียกิจที่สำคัญในรัชสมัยของพระองค์ คือ การกอบกู้เอกราชจากพม่าภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง โดยขับไล่ทหารพม่าออกจากราชอาณาจักรจนหมดสิ้น และยังทรงทำสงครามตลอดรัชสมัยเพื่อรวบรวมแผ่นดินซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของขุนศึกก๊กต่าง ๆ ให้เป็นปึกแผ่น เช่นเดียวกับขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูประเทศในด้านต่าง ๆ ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติหลังสงคราม ทรงส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม และการศึกษา เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อแผ่นดินไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปีเป็น "วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน" และยังทรงได้รับสมัญญานามมหาราช